ประหยัดต้นทุนด้วย “ปุ๋ยชีวภาพ”

จากเหตุการณ์ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยไนโตรเจนมีราคาสูงขึ้น อีกทั้งนโยบายการระงับและลดการส่งออกปุ๋ยของรัสเชียและจีน ยิ่งส่งผลให้เกิดวิกฤติราคาปุ๋ยที่สูงขึ้นกระทบไปทั่วโลก

ในขณะที่ประเทศไทยต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีเป็นมูลค่าปีละกว่า 70,000 ล้านบาท ราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวนี้ จึงส่งผลทำให้ราคาปุ๋ยเคมีพุ่งสูงขึ้นแบบติดจรวด

แต่ใช่ว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่นให้กับปัญหานี้ การที่ปุ๋ยเคมีราคาแพงได้เปิดโอกาสให้กับปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่มีชีวิต ช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช กลายเป็นทางเลือกให้เกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง

ประกอบกับกระแสของโลกที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ และหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้ “เกษตรอินทรีย์” ที่ทำการเกษตรด้วยวิถีธรรมชาติ ได้รับความสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ปุ๋ยชีวภาพเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นด้วย

สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาผลิตเป็นปุ๋ยชีวภาพคือ “ไซยาโนแบคทีเรีย” หรือเดิมเรียกว่าสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เนื่องจากแบคทีเรียนี้มีความสามารถในการตรึงก๊าซไนโตรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในอากาศกว่าร้อยละ 70 และเปลี่ยนไนโตรเจนให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ไซยาโนแบคทีเรียยังช่วยส่งเสริมและปรับปรุงคุณภาพดินอีกด้วย โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเจริญเติบโต สังเคราะห์แสง และเพิ่มออกซิเจนให้กับดิน เป็นการส่งเสริมกระบวนการเมแทบอลิซึมของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ในดินได้ อีกทั้งยังสามารถผลิตฮอร์โมนที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ด้วย

นอกจากนี้ ไซยาโนแบคทีเรียสามารถสร้างสารเมือกทำให้ดินจับตัวเป็นก้อนและเก็บกักความชื้นได้ดี และเมื่อตายลงไซยาโนแบคทีเรียจะสลาย ทำให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารในพื้นที่เกษตร

กระบวนการผลิตไซยาโนแบคทีเรียเป็นปุ๋ยชีวภาพยังสามารถเก็บเป็นคาร์บอนเครดิตไปลดค่าใช้จ่ายในตลาดคาร์บอน (Carbon market) ได้อีกด้วย โดยการเพาะเลี้ยงไซยาโนแบคทีเรียต้องใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งถือเป็นการช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้

และตัวแบคทีเรียยังสามารถเพาะเลี้ยงในน้ำทิ้งได้ ช่วยลดปริมาณสารอาหารในน้ำทิ้ง จึงเป็นการช่วยบำบัดน้ำทิ้งได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นหากมีการขยายผลการใช้ปุ๋ยชีวภาพมากเท่าไรจะยิ่งช่วยสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นเท่านั้น

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการใช้ปุ๋ยชีวภาพจึงเป็นการลดต้นทุนในการทำการเกษตรได้อย่างดี อีกทั้งยังมีส่วนช่วยส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างความยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจสีเขียวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย